- Details
- Category: พลังงาน
- Published: Friday, 18 September 2015 16:13
- Hits: 2295
กพช.คลอด 3 แผนหลัก `พัฒนาพลังงานทดแทน-บริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง-ก๊าซธรรมชาติ` และให้ปตท.ลงทุนท่อส่งก๊าซฯเส้นที่ 5 วงเงิน 1 แสนลบ.
คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เห็นชอบ 3 แผนหลักสำคัญ คือ แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2558 - 2579 (AEDP 2015) แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2558 - 2579 (Oil Plan 2015) และแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2558 -2579 (Gas Plan 2015) เพื่อกำหนดทิศทางการบริหารจัดการด้านน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติระยะยาว พร้อมลุยแผนระบบรับส่งและโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อความมั่นคง รองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต
ในส่วนของแผน AEDP 2015 นั้น กำหนดเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน จาก 11.9% ในปัจจุบันให้เพิ่มเป็น 30% ของปริมาณความต้องการพลังงานรวมของประเทศในปี 2579 โดยปรับเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งสิ้นประมาณ 19,635 เมกะวัตต์ โดยให้มีกรอบระยะเวลาเดียวกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP 2015) รวมทั้งจะมีการส่งเสริมการผลิต และการใช้ไบโอดีเซลเป็น 14 ล้านลิตร/วัน และเอทานอล 11.3 ล้านลิตร/วัน เป็นต้น และมอบ หมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน ดำเนินการจัดทำ แผนปฏิบัติการ (Action Plan) และรายงานความคืบหน้าการดำเนินต่อคณะกรรมการบริหาร นโยบายพลังงาน (กบง.) ทุก 3 เดือน
สำหรับ Oil Plan 2015 นั้นที่ประชุมมีความเห็นชอบให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กระทรวงพลังงาน ทำหน้าที่รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2558 - 2579 (Oil Plan 2015) ต่อ กบง. ทุก 3 เดือนเช่นกัน มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้กำหนดทิศทาง การบริหารจัดการด้านน้ำมันเชื้อเพลิง ให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ระบุภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงานใน ภาคขนส่ง และแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก เช่น การทยอยปรับลดประเภทน้ำมัน เบนซินในระยะยาว ที่ควรมีเหลือไม่เกิน 3 ประเภท และใช้เป็นกรอบสำหรับการดำเนินนโยบายส่ง เสริมน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับ สิทธิประโยชน์พิเศษ เช่น เชื้อเพลิงชีวภาพ และ NGV สำหรับรถ สาธารณะ โดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมต่างๆ รวมถึงความเสี่ยงที่อาจจะส่งผลกระทบทั้งทางตรงและ ทางอ้อมต่อการพัฒนาด้าน พลังงานของประเทศ
ทั้งนี้ ได้กำหนดเป็นยุทธศาสตร์จัดทำแผน 5 ยุทธศาสตร์ ดังนี้ 1. สนับสนุนมาตรการอนุรักษ์พลังงาน ภาคขนส่ง ผ่านมาตรการผสมผสาน 11 มาตรการ 2. บริหารจัดการชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงให้ เหมาะสมกับกลุ่มผู้ใช้ ได้แก่ LPG ที่แม้จะไม่ห้ามใช้ในภาคขนส่งแต่จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษใน การส่ง เสริม ในขณะที่ NGV จะเป็นการส่งเสริมเฉพาะกลุ่มรถสาธารณะและรถบรรทุก 3. ปรับ โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงต่อเนื่อง โดยใช้กลไกตลาดเป็นสำคัญ 4. ผลักดันการใช้เชื้อเพลิง เอทานอลและไบโอดีเซลตามแผน AEDP 2015 และ 5. สนับสนุนการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้น ฐานน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเฉพาะระบบท่อขนส่งน้ำมันและคลังน้ำมันเพื่อสนับสนุนการเข้าสู่ AEC ซึ่ง คาดว่าจะไม่มีความจำเป็นในการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันใหม่
ขณะที่ Gas Plan 2015 และหลักการการบริหารจัดการด้านการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ให้มีการแข่งขันและการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต โดยเพิ่มจำนวนผู้จัดหาและจำหน่าย การเปิดให้บุคคลที่สามสามารถใช้หรือเชื่อมต่อระบบส่งก๊าซธรรมชาติและสถานี แอลเอ็นจี (Third Party Access; TPA) และกำกับดูแลการจัดหา LNG ในระยะสั้น/ระยะยาว โดยมอบหมายให้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (ชพ.) และคณะกรรมการ กำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ร่วมกันศึกษาและจัดทำแนวทางการส่งเสริมให้เกิดการแข่งขัน ให้มีผู้ ประกอบการในกิจการ LNG มากกว่าปัจจุบันที่มีเพียง ปตท. เพียงเจ้าเดียว และจัดทำแนวทางการ กำกับดูแลด้านการจัดหา LNG ต่อไป เพื่อรองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติให้มีเพียงพอใน อนาคต ซึ่งได้บูรณาการกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย(PDP 2015) แผนอนุรักษ์ พลังงาน (EEP 2015) และ แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP 2015)
ทั้งนี้ ได้วางยุทธศาสตร์การดำเนินงานใน 4 ยุทธศาสตร์สำคัญ เพื่อรองรับต่อความต้องการ โดย สามารถจำกัดการนำเข้า LNG ในอนาคตให้อยู่ในระดับที่พอเพียงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น คือ 1. กระจายความเสี่ยงโดยลดการใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้า 2. รักษาระดับการผลิตก๊าซ ธรรมชาติจากแหล่งในประเทศให้ยาวนานขึ้น 3. จัดหาแหล่ง LNG ที่มีประสิทธิภาพภายใต้รูปแบบที่มี การแข่งขัน 4. มีโครงสร้างพื้นฐานเพียงพอ (ระบบท่อ และ LNG Terminal) และแนวทางด้าน การแข่งขันทั้งทางกายภาพ (ทั้งโครงข่ายท่อส่งก๊าซธรรมชาติ และท่าเรือรับ LNG) และกติกาที่สอด รับกับแผนจัดหา (Third Party Access; TPA)และเห็นชอบในแผนระบบรับส่งและโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อความ มั่นคง ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2558 ซึ่งแผนระบบรับส่งและโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อความมั่นคง รองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต ทั้งจากภาคการผลิตไฟฟ้า ภาค อุตสาหกรรม และภาคขนส่ง โดยได้พิจารณาเห็นชอบโครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ เส้นที่ 5 (Natural Gas Pipeline Network) วงเงินลงทุนรวม 110,100 ล้านบาท มอบหมายให้ ปตท. เป็นผู้ดำเนินการ พร้อมติดตามแนวโน้มความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติอย่างใกล้ชิด เพื่อนำมา ใช้ทบทวนรายละเอียดการดำเนินโครงการให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ ประเทศและประชาชน
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย